วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปัจจัย 4 ประการต่อการรักษาสุขภาพ

ปัจจัย 4 ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพและกระบวนการรักษาโรคคือ 
1.        ปัจจัยที่ 1 คือสุขภาพของจิตของเรา ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า สุขภาพของจิตจะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของเราเนื่องจากเวลาที่จิตมีสภาพที่ไม่ปรกติ เช่น เวลาที่เศร้า, เหงา, ทุกข์, เครียด, โกรธ, อิจฉาริษยา ฯลฯ (หรืออาจสรุปง่ายๆ ตามหลักพระพุทธศาสนาว่าเวลาที่จิตเป็นทุกข์อันเนื่องจากกิเลสต่างๆ) สภาพจิตที่เป็นทุกข์นี้จะมีผลทำให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์เกิดความแปรปรวน ซึ่งก็จะมีผลทำให้ระบบประสาทและสมองถูกรบกวนทำให้การทำงานผิดปรกติไปด้วย สมองจะหลั่งสารเคมีประเภทหนึ่ง สารเคมีนี้จะไปทำให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อยลงซึ่งมีผลทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคต่ำลง ซึ่งปัจจัยข้อนี้มีความสำคัญอย่างมากกับผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาโรคเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่สามารถปล่อยวางเรื่องอาการเจ็บป่วยหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ เช่นค่ารักษาพยาบาล ความกังวล ความเครียดเหล่านี้จะยิ่งทำให้ระบบภูมิต้านทานของผู้ป่วยเสื่อมลงซึ่งจะมีผลทำให้อาการป่วยแย่ลงไปด้วย 

สุขภาพจิตที่เป็นทุกข์นอกจากจะมีผลต่อระบบภูมิต้านทานโรคแล้ว สุขภาพจิตที่ไม่ดียังมีผลทำให้ปริมาณอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในร่างกาย (อนุมูลอิสระคือออกซิเจนที่สูญเสียอิเล็คตรอนไป 1 ตัวจึงทำให้เกิดภาวะสูญเสียเสถียรภาพไป ทำให้ต้องไปดึงอิเล็คตรอนจากเซลล์อื่นๆซึ่งเซลล์ที่ถูกดึงอิเล็คตรอนไปก็จะไปดึงอิเล็คตรอน จากเซลล์อื่นอีกที ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ เซลล์จะถูกทำลายไปทีละน้อยจนกระทั่งอวัยวะดังกล่าวสูญเสียการทำหน้าที่ไปในที่สุด นอกจากนี้อนุมูลอิสระยังมีผลต่อความเป็นกรดเป็นด่างของเลือดอีกด้วย เนื่องจากความเป็นกรดเป็นด่างของเลือดจะถูกควบคุมไว้ด้วย Anion Gap ซึ่งเป็นค่าความแตกต่างระหว่างประจุบวกและประจุลบ ต้องอยู่ในค่าที่เหมาะสมเพื่อรักษาเลือดให้มีความบริสุทธิ์ ปริมาณอนุมูลอิสระที่มากยังทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ ซึ่งมีผลทำให้ตับมีความเสื่อมโทรมเนื่องจากทำงานหนักมากเกินไป

การรักษาสภาพของจิตให้มีสุขภาพดีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และมีผลอย่างมากต่อกระบวนการรักษาฟื้นฟูร่างกายจากการเจ็บป่วย การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายเป็นไปอย่างปรกติอย่างที่ควรจะเป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่เกิดความแปรปรวน ระบบประสาทและสมองจะไม่ถูกรบกวน เมื่อนั้นร่างกายจะหลั่งสารเคมีต่างๆที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นปรกติ อนุภาคต่างๆในร่างกายจะค่อยๆถูกปรับให้เรียงตัวเป็นระเบียบมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ระบบและอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้น การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆจากการสวดมนต์หรือฟังบทสวดมนต์ ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์พบแล้วว่าเสียงสวดมนต์ทำให้จิตเกิดความสงบ ร่างกายสามารถหายใจได้ยาวและลึกมากขึ้น กระบวนการขจัดอนุมูลอิสระในร่างกายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ปัจจัยที่ 2 คือคุณภาพของเลือด โดยปรกติเลือดและน้ำเหลืองควรมีความเป็นด่างอ่อนๆ เพื่อให้กระบวนการนำพาอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆและกระบวนการขับสารพิษและขยะออกจากเซลล์ต่างๆเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเลือดมีสภาพที่เสียคือมีความเป็นกรด อันเนื่องจากการทานเนื้อสัตว์มากจนเกินไป, การทานยาแผนปัจจุบันมากเกินไป, การได้รับสารเคมี โลหะหนัก เช่นยาย้อมผม ยาฆ่าแมลง สนิมน้ำ สนิมเหล็กที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำ แอลกอฮอล์ การดื่มน้ำอัดลม แป้งน้ำตาล ของหวานในปริมาณที่มากเกินไป เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เลือดมีความเป็นกรด เกิดความหนืด เคลื่อนตัวได้ยาก ทำให้กระบวนการนำพาอาหารและขจัดสารพิษและขยะช้าลง  ทำให้ภาวะในร่างกายค่อยๆเสื่อมลง ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อโรคและมะเร็งจะชอบมากเพราะเป็นภาวะที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและเชื้อมะเร็ง 

นอกจากนี้เลือดที่หนืดจะทำให้ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือด ผลคือทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น ซึ่งมีผลทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการปั๊มเลือดให้เดินทางไปได้ทั่วร่างกาย ซึ่งจะทำโอกาสที่จะเป็นความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจมากขึ้นตามลำดับ 

3. ปัจจัยที่สามคือหลอดเลือด คือต้องมีความสะอาด แข็งแรงและยืดหยุ่นที่ดี

4. ระบบภูมิต้านทานโรค ทั้งระบบต้องทำงานอย่างสมดุล เนื่องจากเม็ดเลือดขาวมีมากมายหลายชนิดและทำหน้าที่ที่ต่างกัน บางชนิดทำหน้าที่ในการสื่อสาร เช่นทำหน้าที่สื่อสารว่ามีการพบเชื้อโรค หากเม็ดเลือดขาวประเภทนี้ oversensitive หรืออ่อนไหวต่อบางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษก็จะเกิดภาวะโรคภูมิแพ้ บางชนิดทำหน้าที่ในการสื่อสารเพื่อการควบคุมการฆ่าเชื้อโรคให้มีประสิทธิภาพ คือเมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดที่ฆ่าเชื้อโรคชนิดนั้นฆ่าเชื้อโรคเสร็จแล้ว เม็ดเลือดขาวประเภทนี้ต้องสื่อสารเพื่อให้หยุดกระบวนการฆ่าเชื้อโรค เพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดการทำลายเซลล์ปกติไป  หากเม็ดเลือดขาวประเภททำงานผิดปรกติอาจเกิดภาวะแพ้ภูมิตัวเอง เพราะฉะนั้นระบบภูมิต้านทานทั้งระบบต้องทำงานอย่างสมดุล เพื่อให้กระบวนการกำจัดโรคและสารพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

หากทั้ง 4 ปัจจัยมีความสมบูรณ์ดี สุขภาพก็จะแข็งแรงและหากรักษาโรคอยู่ก็จะมีโอกาสที่โรคจะหายได้มาก

ข้อมูลข้างล่างจะเป็น อาหารแสลง และอาหารที่ถูกโรค ซึ่งแบ่งตามกรุ๊ปเลือด นั้นหมายถึงในช่วงเวลาที่ป่วย มีอาการอักเสบ มีแผล หรืออยู่ระหว่างการรักษาโรค ควรงดการกินของแสลงไปก่อน เมื่อหายแล้วสามารถทานได้ และควรทานอาหารที่ถูกกับเลือดของตนเองเพื่อช่วยให้กระบวนการรักษาและฟื้นตัวของร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

อาหารแสลงนี้ ในยามที่สุขภาพเป็นปรกติสามารถทานได้แต่ไม่ควรเป็นปริมาณที่สูงเกินไป 

กรุ๊ปเลือด                     อาหารแสลงกับกรุ๊ปเลือด                   อาหารที่ถูกกับกรุ๊ปเลือด
A Rh+                                  ถั่วชนิดต่างๆ                                                 กล้วย
A Rh-                                   กล้วย                                                               ถั่วชนิดต่างๆ
B Rh+                                 ไข่ จากสัตว์ปีกทั้งหลาย                                งาชนิดต่างๆ
                    (รวมทั้งอาหารที่มีไข่ผสมเช่นเค้ก, ขนมต่างๆ)                                 
B Rh-                                  งาชนิดต่างๆ                                            ไข่จากสัตว์ปีกทั้งหลาย
                                                                                                               (ไข่ไก่, ไข่เป็ด,ไข่นก...)
AB Rh+                              อาหารทะเล                                                    หมู
AB Rh-                               หมู                                                                    อาหารทะเล
O Rh+                                ไก่                                                                      เป็ด
O Rh-                                 เป็ด                                                                    ไก่

แหล่งโปรตีนที่เป็นของแสลงของกรุ๊ปเลือดต่างๆ จะมีผลทำให้เลือดมีความหนืด เกาะอยู่ตามหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็ง ไม่ยืดหยุ่น และทำให้กระบวนการขับพิษเป็นไปได้ช้า ทำให้โรคหายช้า แผลเรื้อรัง หนองจะไม่แห้ง และทำให้ภาวะในร่างกายเหมาะต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง 

ในขณะที่แหล่งโปรตีนที่ถูกกับกรุ๊ปเลือด จะทำเม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง เลือดมีความบริสุทธิ์ กระบวนการฆ่าเชื้อโรค ขับสารพิษ และการฟื้นฟูร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้แผลและโรคหายได้เร็วขึ้น 

กรุ๊ปเลือด                     สมุนไพรแสลงกับเลือด            
A Rh+, A Rh-                  ขมิ้น                                          
B Rh+, B Rh-                  ว่านชักมดลูก                         
AB Rh+, AB Rh-            เห็ดหลินจือ                                 
O Rh+, O Rh-                 มะรุม                                     

สมุนไพรที่แสลงกับเลือด จะไปมีผลทำให้เลือดหนืดเช่นเดียวกันและไปทำลายหลอดเลือดให้เกิดความเสียหาย ส่วนสมุนไพรที่ถูกกับกรุ๊ปเลือดจะช่วยไปล้างเลือดให้มีความสะอาดและบริสุทธิ์ขึ้น ช่วยซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหายไปให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ซึ่งเมื่อหลอดเลือดแข็งแรงขึ้นจะทำให้หัวใจทำงานน้อยลงสามารถนำพาอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระบวนการฟื้นฟูร่างกายก็จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น