ปัจจัย 4
ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพและกระบวนการรักษาโรคคือ
1.
ปัจจัยที่ 1 คือสุขภาพของจิตของเรา ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า
สุขภาพของจิตจะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของเราเนื่องจากเวลาที่จิตมีสภาพที่ไม่ปรกติ
เช่น เวลาที่เศร้า, เหงา, ทุกข์,
เครียด, โกรธ, อิจฉาริษยา ฯลฯ
(หรืออาจสรุปง่ายๆ
ตามหลักพระพุทธศาสนาว่าเวลาที่จิตเป็นทุกข์อันเนื่องจากกิเลสต่างๆ)
สภาพจิตที่เป็นทุกข์นี้จะมีผลทำให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์เกิดความแปรปรวน
ซึ่งก็จะมีผลทำให้ระบบประสาทและสมองถูกรบกวนทำให้การทำงานผิดปรกติไปด้วย สมองจะหลั่งสารเคมีประเภทหนึ่ง
สารเคมีนี้จะไปทำให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อยลงซึ่งมีผลทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคต่ำลง
ซึ่งปัจจัยข้อนี้มีความสำคัญอย่างมากกับผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาโรคเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่สามารถปล่อยวางเรื่องอาการเจ็บป่วยหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องได้
เช่นค่ารักษาพยาบาล ความกังวล
ความเครียดเหล่านี้จะยิ่งทำให้ระบบภูมิต้านทานของผู้ป่วยเสื่อมลงซึ่งจะมีผลทำให้อาการป่วยแย่ลงไปด้วย
สุขภาพจิตที่เป็นทุกข์นอกจากจะมีผลต่อระบบภูมิต้านทานโรคแล้ว
สุขภาพจิตที่ไม่ดียังมีผลทำให้ปริมาณอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในร่างกาย
(อนุมูลอิสระคือออกซิเจนที่สูญเสียอิเล็คตรอนไป 1 ตัวจึงทำให้เกิดภาวะสูญเสียเสถียรภาพไป
ทำให้ต้องไปดึงอิเล็คตรอนจากเซลล์อื่นๆซึ่งเซลล์ที่ถูกดึงอิเล็คตรอนไปก็จะไปดึงอิเล็คตรอน
จากเซลล์อื่นอีกที ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่
เซลล์จะถูกทำลายไปทีละน้อยจนกระทั่งอวัยวะดังกล่าวสูญเสียการทำหน้าที่ไปในที่สุด
นอกจากนี้อนุมูลอิสระยังมีผลต่อความเป็นกรดเป็นด่างของเลือดอีกด้วย
เนื่องจากความเป็นกรดเป็นด่างของเลือดจะถูกควบคุมไว้ด้วย Anion Gap ซึ่งเป็นค่าความแตกต่างระหว่างประจุบวกและประจุลบ
ต้องอยู่ในค่าที่เหมาะสมเพื่อรักษาเลือดให้มีความบริสุทธิ์ ปริมาณอนุมูลอิสระที่มากยังทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้
ซึ่งมีผลทำให้ตับมีความเสื่อมโทรมเนื่องจากทำงานหนักมากเกินไป
การรักษาสภาพของจิตให้มีสุขภาพดีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
และมีผลอย่างมากต่อกระบวนการรักษาฟื้นฟูร่างกายจากการเจ็บป่วย การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายเป็นไปอย่างปรกติอย่างที่ควรจะเป็น
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่เกิดความแปรปรวน ระบบประสาทและสมองจะไม่ถูกรบกวน
เมื่อนั้นร่างกายจะหลั่งสารเคมีต่างๆที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นปรกติ
อนุภาคต่างๆในร่างกายจะค่อยๆถูกปรับให้เรียงตัวเป็นระเบียบมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ระบบและอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้น
การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆจากการสวดมนต์หรือฟังบทสวดมนต์
ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์พบแล้วว่าเสียงสวดมนต์ทำให้จิตเกิดความสงบ
ร่างกายสามารถหายใจได้ยาวและลึกมากขึ้น กระบวนการขจัดอนุมูลอิสระในร่างกายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ปัจจัยที่ 2
คือคุณภาพของเลือด โดยปรกติเลือดและน้ำเหลืองควรมีความเป็นด่างอ่อนๆ
เพื่อให้กระบวนการนำพาอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆและกระบวนการขับสารพิษและขยะออกจากเซลล์ต่างๆเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากเลือดมีสภาพที่เสียคือมีความเป็นกรด อันเนื่องจากการทานเนื้อสัตว์มากจนเกินไป,
การทานยาแผนปัจจุบันมากเกินไป, การได้รับสารเคมี
โลหะหนัก เช่นยาย้อมผม ยาฆ่าแมลง สนิมน้ำ สนิมเหล็กที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำ
แอลกอฮอล์ การดื่มน้ำอัดลม แป้งน้ำตาล ของหวานในปริมาณที่มากเกินไป เป็นต้น
ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เลือดมีความเป็นกรด เกิดความหนืด เคลื่อนตัวได้ยาก
ทำให้กระบวนการนำพาอาหารและขจัดสารพิษและขยะช้าลง ทำให้ภาวะในร่างกายค่อยๆเสื่อมลง
ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อโรคและมะเร็งจะชอบมากเพราะเป็นภาวะที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและเชื้อมะเร็ง
นอกจากนี้เลือดที่หนืดจะทำให้ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือด
ผลคือทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น
ซึ่งมีผลทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการปั๊มเลือดให้เดินทางไปได้ทั่วร่างกาย
ซึ่งจะทำโอกาสที่จะเป็นความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจมากขึ้นตามลำดับ
3. ปัจจัยที่สามคือหลอดเลือด
คือต้องมีความสะอาด แข็งแรงและยืดหยุ่นที่ดี
4. ระบบภูมิต้านทานโรค
ทั้งระบบต้องทำงานอย่างสมดุล
เนื่องจากเม็ดเลือดขาวมีมากมายหลายชนิดและทำหน้าที่ที่ต่างกัน
บางชนิดทำหน้าที่ในการสื่อสาร เช่นทำหน้าที่สื่อสารว่ามีการพบเชื้อโรค
หากเม็ดเลือดขาวประเภทนี้ oversensitive หรืออ่อนไหวต่อบางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษก็จะเกิดภาวะโรคภูมิแพ้
บางชนิดทำหน้าที่ในการสื่อสารเพื่อการควบคุมการฆ่าเชื้อโรคให้มีประสิทธิภาพ
คือเมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดที่ฆ่าเชื้อโรคชนิดนั้นฆ่าเชื้อโรคเสร็จแล้ว
เม็ดเลือดขาวประเภทนี้ต้องสื่อสารเพื่อให้หยุดกระบวนการฆ่าเชื้อโรค เพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดการทำลายเซลล์ปกติไป
หากเม็ดเลือดขาวประเภททำงานผิดปรกติอาจเกิดภาวะแพ้ภูมิตัวเอง
เพราะฉะนั้นระบบภูมิต้านทานทั้งระบบต้องทำงานอย่างสมดุล เพื่อให้กระบวนการกำจัดโรคและสารพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หากทั้ง 4 ปัจจัยมีความสมบูรณ์ดี
สุขภาพก็จะแข็งแรงและหากรักษาโรคอยู่ก็จะมีโอกาสที่โรคจะหายได้มาก
ข้อมูลข้างล่างจะเป็น อาหารแสลง
และอาหารที่ถูกโรค ซึ่งแบ่งตามกรุ๊ปเลือด นั้นหมายถึงในช่วงเวลาที่ป่วย
มีอาการอักเสบ มีแผล หรืออยู่ระหว่างการรักษาโรค ควรงดการกินของแสลงไปก่อน
เมื่อหายแล้วสามารถทานได้ และควรทานอาหารที่ถูกกับเลือดของตนเองเพื่อช่วยให้กระบวนการรักษาและฟื้นตัวของร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อาหารแสลงนี้
ในยามที่สุขภาพเป็นปรกติสามารถทานได้แต่ไม่ควรเป็นปริมาณที่สูงเกินไป
กรุ๊ปเลือด
อาหารแสลงกับกรุ๊ปเลือด
อาหารที่ถูกกับกรุ๊ปเลือด
A Rh+ ถั่วชนิดต่างๆ
กล้วย
A Rh-
กล้วย ถั่วชนิดต่างๆ
B Rh+
ไข่
จากสัตว์ปีกทั้งหลาย งาชนิดต่างๆ
(รวมทั้งอาหารที่มีไข่ผสมเช่นเค้ก,
ขนมต่างๆ)
B Rh-
งาชนิดต่างๆ
ไข่จากสัตว์ปีกทั้งหลาย
(ไข่ไก่, ไข่เป็ด,ไข่นก...)
AB Rh+
อาหารทะเล
หมู
AB Rh-
หมู
อาหารทะเล
O Rh+
ไก่
เป็ด
O Rh-
เป็ด
ไก่
แหล่งโปรตีนที่เป็นของแสลงของกรุ๊ปเลือดต่างๆ
จะมีผลทำให้เลือดมีความหนืด เกาะอยู่ตามหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็ง ไม่ยืดหยุ่น และทำให้กระบวนการขับพิษเป็นไปได้ช้า
ทำให้โรคหายช้า แผลเรื้อรัง หนองจะไม่แห้ง และทำให้ภาวะในร่างกายเหมาะต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ในขณะที่แหล่งโปรตีนที่ถูกกับกรุ๊ปเลือด
จะทำเม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง เลือดมีความบริสุทธิ์ กระบวนการฆ่าเชื้อโรค
ขับสารพิษ และการฟื้นฟูร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้แผลและโรคหายได้เร็วขึ้น
กรุ๊ปเลือด
สมุนไพรแสลงกับเลือด
A Rh+, A Rh-
ขมิ้น
B Rh+, B Rh-
ว่านชักมดลูก
AB Rh+, AB Rh-
เห็ดหลินจือ
O Rh+, O Rh-
มะรุม
สมุนไพรที่แสลงกับเลือด
จะไปมีผลทำให้เลือดหนืดเช่นเดียวกันและไปทำลายหลอดเลือดให้เกิดความเสียหาย
ส่วนสมุนไพรที่ถูกกับกรุ๊ปเลือดจะช่วยไปล้างเลือดให้มีความสะอาดและบริสุทธิ์ขึ้น
ช่วยซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหายไปให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น
ซึ่งเมื่อหลอดเลือดแข็งแรงขึ้นจะทำให้หัวใจทำงานน้อยลงสามารถนำพาอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กระบวนการฟื้นฟูร่างกายก็จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน