วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพกับอุณหภูมิร่างกาย

โดยปรกติแล้วร่างกายมนุษย์จะมีอุณหภูมิอยู่ที่ 36.8°C + 0.7 °C โดยที่อุณหภูมิของผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะอยู่ประมาณ 36.5°C – 36.8°C ในขณะที่เด็กจะมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าอยู่ 37°C ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ อิชิฮาระ ยูมิ แห่งโรงพยาบาลยูมิประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเรื่องอุณหภูมิร่างกายมนุษย์มาหลายสิบปี พบว่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์ลดลงมา 0.5°C และอุณหภูมิร่างกายที่ลดลงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพของมนุษย์

นอกเหนือจากศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ อิชิฮาระ ยูมิแล้วยังมีศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ โทรุ อาโบะ แห่งมหาวิทยาลัยนิอิกาตะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรืองระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ฮิโรมิ ชินยะ ศัลยแพทย์และอาจารย์หมอแห่งวิทยาลัยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ โรงพยาบาลเบธ อิสราเอล กรุงนิวยอร์ค ดอกเตอร์หม่า หยูหลิง ประเทศจีนที่สนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิของร่างกายกับสุขภาพ ต่างมีข้อสรุปผลการทดลองที่คล้ายคลึงกัน
·         
  •          เมื่ออุณหภูมิปรกติของร่างกายลดลง 1°C เอ็นไซม์ต่างๆในร่างกายจะทำงานน้อยลง มีผลทำให้ประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายลดลง 30 - 35%
  •        หากอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นกว่าอุณหภูมิปรกติของร่างกาย 1°C ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น 5-6 เท่า
  • ·      อุณหภูมิของร่างกายของคนๆหนึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้นั้น
  • ·      เมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลงต่ำกว่า 37°C อัตราการเผาผลาญอาหารจะลดลง 30 – 50% ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง
  • ·      เมื่ออุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงกว่าปรกติ อัตราการไหลเวียนของเลือดจะช้าลง ทำให้กระบวนการกำจัดของเสียใน  ร่างกายลดประสิทธิภาพลง ทำให้กระบวนการลำเลียงอาหารไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆก็ช้าลง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน  ของอวัยวะต่างๆลดลง
  • ·      เมื่ออุณหภูมิของร่างกายลดต่ำกว่าปรกติ ทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายมีแน้วโน้มที่จะกลายพันธุ์ได้ง่ายและแจเป็นสาเหตุ  ของมะเร็ง
  • ·      หากอุณหภูมิของร่างกายลดต่ำกว่า 35°C โอกาสที่จะเสียชีวิตอยู่ที่ 30%
  • ·      อุณหภูมิของร่างกายหากลดต่ำลงมาอยู่ที่ 35°C เซลล์มะเร็งจะแพร่ขยายด้วยอัตราที่เร็วมาก เนื่องจากเอ็นไซม์ต่างๆ    ทำงานน้อยลง ซึ่งมีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานน้อยลงไปด้วย เมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานน้อยลงเซลล์มะเร็งจึงแพร่  ขยายไปได้เร็วมาก
  • ·      เซลล์มะเร็งจะหยุดการแพร่ขยายและถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิของร่างกายอยู่ที่ 39.6°C


การเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายทำได้หลายวิธีทั้งการออกกำลังกาย (ที่พอเหมาะพอดี) เป็นประจำ สมุนไพรหลายประเภทสามารถเพิ่มความร้อนได้ เช่น ขิง, การแช่น้ำอุ่น น้ำแร่ เป็นประจำ, การงดเว้นเครื่องดื่มที่มีความเย็น, การใช้รังสีฟาร์อินฟราเรดบำบัด เป็นต้น

ปัจจัย 4 ประการต่อการรักษาสุขภาพ

ปัจจัย 4 ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพและกระบวนการรักษาโรคคือ 
1.        ปัจจัยที่ 1 คือสุขภาพของจิตของเรา ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า สุขภาพของจิตจะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของเราเนื่องจากเวลาที่จิตมีสภาพที่ไม่ปรกติ เช่น เวลาที่เศร้า, เหงา, ทุกข์, เครียด, โกรธ, อิจฉาริษยา ฯลฯ (หรืออาจสรุปง่ายๆ ตามหลักพระพุทธศาสนาว่าเวลาที่จิตเป็นทุกข์อันเนื่องจากกิเลสต่างๆ) สภาพจิตที่เป็นทุกข์นี้จะมีผลทำให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์เกิดความแปรปรวน ซึ่งก็จะมีผลทำให้ระบบประสาทและสมองถูกรบกวนทำให้การทำงานผิดปรกติไปด้วย สมองจะหลั่งสารเคมีประเภทหนึ่ง สารเคมีนี้จะไปทำให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อยลงซึ่งมีผลทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคต่ำลง ซึ่งปัจจัยข้อนี้มีความสำคัญอย่างมากกับผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาโรคเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่สามารถปล่อยวางเรื่องอาการเจ็บป่วยหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ เช่นค่ารักษาพยาบาล ความกังวล ความเครียดเหล่านี้จะยิ่งทำให้ระบบภูมิต้านทานของผู้ป่วยเสื่อมลงซึ่งจะมีผลทำให้อาการป่วยแย่ลงไปด้วย 

สุขภาพจิตที่เป็นทุกข์นอกจากจะมีผลต่อระบบภูมิต้านทานโรคแล้ว สุขภาพจิตที่ไม่ดียังมีผลทำให้ปริมาณอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในร่างกาย (อนุมูลอิสระคือออกซิเจนที่สูญเสียอิเล็คตรอนไป 1 ตัวจึงทำให้เกิดภาวะสูญเสียเสถียรภาพไป ทำให้ต้องไปดึงอิเล็คตรอนจากเซลล์อื่นๆซึ่งเซลล์ที่ถูกดึงอิเล็คตรอนไปก็จะไปดึงอิเล็คตรอน จากเซลล์อื่นอีกที ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ เซลล์จะถูกทำลายไปทีละน้อยจนกระทั่งอวัยวะดังกล่าวสูญเสียการทำหน้าที่ไปในที่สุด นอกจากนี้อนุมูลอิสระยังมีผลต่อความเป็นกรดเป็นด่างของเลือดอีกด้วย เนื่องจากความเป็นกรดเป็นด่างของเลือดจะถูกควบคุมไว้ด้วย Anion Gap ซึ่งเป็นค่าความแตกต่างระหว่างประจุบวกและประจุลบ ต้องอยู่ในค่าที่เหมาะสมเพื่อรักษาเลือดให้มีความบริสุทธิ์ ปริมาณอนุมูลอิสระที่มากยังทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ ซึ่งมีผลทำให้ตับมีความเสื่อมโทรมเนื่องจากทำงานหนักมากเกินไป

การรักษาสภาพของจิตให้มีสุขภาพดีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และมีผลอย่างมากต่อกระบวนการรักษาฟื้นฟูร่างกายจากการเจ็บป่วย การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายเป็นไปอย่างปรกติอย่างที่ควรจะเป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่เกิดความแปรปรวน ระบบประสาทและสมองจะไม่ถูกรบกวน เมื่อนั้นร่างกายจะหลั่งสารเคมีต่างๆที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นปรกติ อนุภาคต่างๆในร่างกายจะค่อยๆถูกปรับให้เรียงตัวเป็นระเบียบมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ระบบและอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้น การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆจากการสวดมนต์หรือฟังบทสวดมนต์ ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์พบแล้วว่าเสียงสวดมนต์ทำให้จิตเกิดความสงบ ร่างกายสามารถหายใจได้ยาวและลึกมากขึ้น กระบวนการขจัดอนุมูลอิสระในร่างกายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ปัจจัยที่ 2 คือคุณภาพของเลือด โดยปรกติเลือดและน้ำเหลืองควรมีความเป็นด่างอ่อนๆ เพื่อให้กระบวนการนำพาอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆและกระบวนการขับสารพิษและขยะออกจากเซลล์ต่างๆเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเลือดมีสภาพที่เสียคือมีความเป็นกรด อันเนื่องจากการทานเนื้อสัตว์มากจนเกินไป, การทานยาแผนปัจจุบันมากเกินไป, การได้รับสารเคมี โลหะหนัก เช่นยาย้อมผม ยาฆ่าแมลง สนิมน้ำ สนิมเหล็กที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำ แอลกอฮอล์ การดื่มน้ำอัดลม แป้งน้ำตาล ของหวานในปริมาณที่มากเกินไป เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เลือดมีความเป็นกรด เกิดความหนืด เคลื่อนตัวได้ยาก ทำให้กระบวนการนำพาอาหารและขจัดสารพิษและขยะช้าลง  ทำให้ภาวะในร่างกายค่อยๆเสื่อมลง ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อโรคและมะเร็งจะชอบมากเพราะเป็นภาวะที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและเชื้อมะเร็ง 

นอกจากนี้เลือดที่หนืดจะทำให้ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือด ผลคือทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น ซึ่งมีผลทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการปั๊มเลือดให้เดินทางไปได้ทั่วร่างกาย ซึ่งจะทำโอกาสที่จะเป็นความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจมากขึ้นตามลำดับ 

3. ปัจจัยที่สามคือหลอดเลือด คือต้องมีความสะอาด แข็งแรงและยืดหยุ่นที่ดี

4. ระบบภูมิต้านทานโรค ทั้งระบบต้องทำงานอย่างสมดุล เนื่องจากเม็ดเลือดขาวมีมากมายหลายชนิดและทำหน้าที่ที่ต่างกัน บางชนิดทำหน้าที่ในการสื่อสาร เช่นทำหน้าที่สื่อสารว่ามีการพบเชื้อโรค หากเม็ดเลือดขาวประเภทนี้ oversensitive หรืออ่อนไหวต่อบางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษก็จะเกิดภาวะโรคภูมิแพ้ บางชนิดทำหน้าที่ในการสื่อสารเพื่อการควบคุมการฆ่าเชื้อโรคให้มีประสิทธิภาพ คือเมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดที่ฆ่าเชื้อโรคชนิดนั้นฆ่าเชื้อโรคเสร็จแล้ว เม็ดเลือดขาวประเภทนี้ต้องสื่อสารเพื่อให้หยุดกระบวนการฆ่าเชื้อโรค เพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดการทำลายเซลล์ปกติไป  หากเม็ดเลือดขาวประเภททำงานผิดปรกติอาจเกิดภาวะแพ้ภูมิตัวเอง เพราะฉะนั้นระบบภูมิต้านทานทั้งระบบต้องทำงานอย่างสมดุล เพื่อให้กระบวนการกำจัดโรคและสารพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

หากทั้ง 4 ปัจจัยมีความสมบูรณ์ดี สุขภาพก็จะแข็งแรงและหากรักษาโรคอยู่ก็จะมีโอกาสที่โรคจะหายได้มาก

ข้อมูลข้างล่างจะเป็น อาหารแสลง และอาหารที่ถูกโรค ซึ่งแบ่งตามกรุ๊ปเลือด นั้นหมายถึงในช่วงเวลาที่ป่วย มีอาการอักเสบ มีแผล หรืออยู่ระหว่างการรักษาโรค ควรงดการกินของแสลงไปก่อน เมื่อหายแล้วสามารถทานได้ และควรทานอาหารที่ถูกกับเลือดของตนเองเพื่อช่วยให้กระบวนการรักษาและฟื้นตัวของร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

อาหารแสลงนี้ ในยามที่สุขภาพเป็นปรกติสามารถทานได้แต่ไม่ควรเป็นปริมาณที่สูงเกินไป 

กรุ๊ปเลือด                     อาหารแสลงกับกรุ๊ปเลือด                   อาหารที่ถูกกับกรุ๊ปเลือด
A Rh+                                  ถั่วชนิดต่างๆ                                                 กล้วย
A Rh-                                   กล้วย                                                               ถั่วชนิดต่างๆ
B Rh+                                 ไข่ จากสัตว์ปีกทั้งหลาย                                งาชนิดต่างๆ
                    (รวมทั้งอาหารที่มีไข่ผสมเช่นเค้ก, ขนมต่างๆ)                                 
B Rh-                                  งาชนิดต่างๆ                                            ไข่จากสัตว์ปีกทั้งหลาย
                                                                                                               (ไข่ไก่, ไข่เป็ด,ไข่นก...)
AB Rh+                              อาหารทะเล                                                    หมู
AB Rh-                               หมู                                                                    อาหารทะเล
O Rh+                                ไก่                                                                      เป็ด
O Rh-                                 เป็ด                                                                    ไก่

แหล่งโปรตีนที่เป็นของแสลงของกรุ๊ปเลือดต่างๆ จะมีผลทำให้เลือดมีความหนืด เกาะอยู่ตามหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็ง ไม่ยืดหยุ่น และทำให้กระบวนการขับพิษเป็นไปได้ช้า ทำให้โรคหายช้า แผลเรื้อรัง หนองจะไม่แห้ง และทำให้ภาวะในร่างกายเหมาะต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง 

ในขณะที่แหล่งโปรตีนที่ถูกกับกรุ๊ปเลือด จะทำเม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง เลือดมีความบริสุทธิ์ กระบวนการฆ่าเชื้อโรค ขับสารพิษ และการฟื้นฟูร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้แผลและโรคหายได้เร็วขึ้น 

กรุ๊ปเลือด                     สมุนไพรแสลงกับเลือด            
A Rh+, A Rh-                  ขมิ้น                                          
B Rh+, B Rh-                  ว่านชักมดลูก                         
AB Rh+, AB Rh-            เห็ดหลินจือ                                 
O Rh+, O Rh-                 มะรุม                                     

สมุนไพรที่แสลงกับเลือด จะไปมีผลทำให้เลือดหนืดเช่นเดียวกันและไปทำลายหลอดเลือดให้เกิดความเสียหาย ส่วนสมุนไพรที่ถูกกับกรุ๊ปเลือดจะช่วยไปล้างเลือดให้มีความสะอาดและบริสุทธิ์ขึ้น ช่วยซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหายไปให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ซึ่งเมื่อหลอดเลือดแข็งแรงขึ้นจะทำให้หัวใจทำงานน้อยลงสามารถนำพาอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระบวนการฟื้นฟูร่างกายก็จะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน



วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เบต้ากลูแคนคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร

เบต้ากลูแคนคืออะไร (what is β-glucan?)

เบต้ากลูแคน เป็นสารอาหารธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มโพลีแซคคาร์ไรด์ชนิดหนึ่ง ที่มีกลูโคสมาเชื่อมต่อด้วยพันธะเบต้า-ไกลโคสิติก เป็นสารอาหารธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลกในการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และเชื่อว่ามีอนาคตเป็นอาหารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นยาที่ดีที่สุด และองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) จัดให้เป็นอาหารเสริมปลอดภัย 100%  แม้รับประทานในปริมาณที่มากก็ ไม่ ก่อให้เกิดภูมิต้านทานทำลายตัวเอง

แม้ว่าเบต้า-กลูแคน สามารถพบและสกัดได้จากวัตถุดิบในอาหารหลายชนิด เช่นธัญพืช เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา พืชตระกูลเห็ดโดยเฉพาะเห็ดหลินจือ แต่เฉพาะเบต้า-กลูแคนจากยีสต์ดำ ที่จะอยู่ในรูป เบต้า-1,3/1,6 กลูแคน ซึ่งเป็นโครงสร้างคล้ายตะขอ ทำให้สามารถจับกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่ากลูแคนรูปแบบอื่นๆ และให้ประสิทธิภาพสูงสุด

เบต้า-กลูแคนที่กินเข้าไปจะถูกดูดซึมผ่านเอ็มเซลล์ในทางเดินอาหาร ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบต่อมน้ำเหลืองในร่างกาย เม็ดเลือดขาวอย่างแมคโครฟาจจะเข้ามาจับกินและย่อย และนำเศษชิ้นส่วนมาเชื่อมต่อกับผิวเซลล์ ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเม็ดเลือดขาวด้วยกัน เม็ดเลือดขาวที่ถูกกระตุ้นแล้วจะเกิดขบวนการเก็บกินเชื้อโรค สารพิษ (ฟาโกไซโตสิส) เพิ่มมากขึ่น และยังมีการหลั่งโปรตีนที่เรียกว่า ไซโตไคน์ ซึ่งจะเป็นเคมีที่ไปกระตุ้นการทำงานโดยรวมของระบบภูมิคุ้มกันด้วยเช่นกัน จากกลไกการทำงานในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคโดยเบต้า-กลูแคน จะส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันทั้งแบบไม่เฉพาะเจาะจงและแบบเฉพาะเจาะจงต่อโรคที่ตามมา

สรรพคุณของเบต้ากลูแคน 
  • เพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำลายเชื้อโรค
  • กระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปจุดที่เกิดโรคได้เร็วขึ้น ทำให้การกัดกินเชื้อโรคเร็วขึ้น
  • เพิ่มขบวนการเก็บกินเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมให้มากขึ้นทำให้ขบวนการกำจัดเชื้อโรคและสารแปลกปลอมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เหมาะสม ไม่ทำงานมากเกินไปจนเกิดเป็นภูมิแพ้ หรือทำงานน้อยเกินไปจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
  • เบต้า-กลูแคนจะไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวใหญ่ในผิวหนัง (Langerhans Cells) ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคได้ดีขึ้นและชะลอให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมช้าลง เบต้า-กลูแคนจับกับเซลล์สร้างเนื้อเยื่อของผิวหนัง (Fibroblast) กระตุ้นให้เกิดการสร้างสารสำคัญ 3 ชนิดคือ 1. คอลลาเจน ทำให้ผิวหนังเต่งตึง รักษาแผล และลดรอยแผลเป็น 2.  อีลาสติน ทำให้ลดริ้วรอยและร่องลึกบนผิวหนัง แทนการใช้โบทอกซ์ 3. กรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวชุ่มชื้น รักษาอาการผิวหนังอักเสบ รักษาสิว 
  • กระตุ้นการทำงานของ NK Cells (Natural Killer Cells) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายและกำจัดเซลล์มะเร็ง
  • จับกับเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพและเฉพาะเจาะจง ป้องกันปัญหาโรคติดเชื้อต่างๆ
  • เพิ่มความต้านทานโรค สิ่งแปลกปลอมและสารพิษตกค้างภายในร่างกาย
  • ลดผลกระทบจากการฉายรังสีและเคมีบำบัดของผู้ป่วยโรคมะเร็ง
  • ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันและบำบัดอาการความดันโลหิตสูง
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้มีความสมดุล ป้องกันและบำบัดโรคเบาหวาน
  • ลดอาการอักเสบและอาการติดเชื้อได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ เกาท์ รูมาตอย
  • บำรุงสายตา

 


หลักเศรษฐกิจพอเพียง กับ หลักธรรมสัปปุริสธรรม 7

เปรียบเทียบหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา หมวดสัปปุริสธรรม 7 จะเห็นว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมีความสอดคล้องกับหลักสัปปุริสธรรม 7 อย่างยิ่ง


คุณสมบัติสำคัญ 3 ประการ ของหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ
1. ความพอประมาณ ความพอดีที่ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น
2. ความมีเหตุมีผล การตัดสินใจเกี่ยวกับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจโดยรอบด้าน ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆอย่างมีสติและรอบคอบ
3. มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี การรู้จักตนเอง การรู้จักสังคมที่ตนอยู่ การรู้จักประเมินสถานการณ์ต่างๆที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับตนเองหรือสังคมที่ตนอาศัยอยู่ ซึ่งทำให้สามารถเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี

หลักสำคัญ 3 ประการนี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับหลักธรรมในหมวดสัปปุริสธรรม 7 อันหมายถึงธรรมของคนดี ธรรมของผู้สงบ จะเห็นว่าคุณสมบัติข้อของความมีเหตุมีผล จะตรงกับหลักธรรม ธัมมัญญุตา และ อัตถัญญุตา ธัมมัญญุตา คือ รู้จักเหตุ รู้จักหลักการต่างๆ รู้หลักความจริง รู้ว่าเหตุอันใดทำแล้วจะเกิดผลที่เราต้องการนั้นๆ ในขณะที่ อัตถัญญุตา คือ รู้จักผล รู้จักความมุ่งหมาย รู้ถึงจุดประสงค์ของการกระทำใดๆ รู้เป้าหมายในการกระทำ รู้ว่าหลักการนี้ทำแล้วย่อมปรากฏผลอย่างไร การมีเหตุมีผลในการดำเนินชีวิตย่อมทำให้เรามีหลักยึดไม่เดินหลงทาง แม้ระหว่างทางอาจเกิดปัญหา ผลที่ได้อาจไม่ตรงกับที่คาดการณ์ไปบ้าง แต่เพราะมีหลักการในการดำเนินชีวิต ย่อมสามารถหาต้นตอของปัญหาและแก้ไขได้

ในข้อของความพอประมาณ จะสอดคล้องกับหลัก มัตตัญญุตา, อัตตัญญุตา และ กาลัญญุตา มัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณ ความรู้จักพอดี รู้จักประมาณในการบริโภค รู้จักประมาณในการกระทำทุกอย่าง การรู้จักประมาณจะทำให้เราลดการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อัตตัญญุตา คือ การรู้จักตนเอง การรู้จักลักษณะทางกายภาพ เพศ วัย ทำให้มีการบริโภคที่เหมาะสม ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม การรู้จักความสามารถของตนเอง ความสามารถในการพัฒนาตนเอง ย่อมทำให้รู้จักประมาณในการตั้งเป้าหมายในชีวิตไม่ให้สูงเกินกว่าขีดความสามารถของตนเองจนเกินไป ซึ่งจะทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างเคร่งเครียด บีบคั้น และกาลัญญุตา คือ การรู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม และรู้จักระยะเวลาที่เหมาะสมในการกระทำใดๆ เช่น รู้ว่าเวลานี้ควรทำงาน เวลานี้ควรพักผ่อนร่างกาย เวลานี้ควรผ่อนคลายจิตใจ รู้ว่าควรทำงานเป็นระยะเวลาเท่าไหร่จึงสัมฤทธิ์ผล เพื่อไม่ให้ช้าเกินจนไม่ทันการณ์ หรือเร็วเกินไปจนไม่รอบคอบ 

หลักสุดท้ายคือการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตนเอง จะสอดคล้องกับหลัก อัตตัญญุตา, ปริสัญญุตา, ปุคคลัญญุตา และ กาลัญญุตา อัตตัญญุตา คือ การรู้จักตนเอง รู้ถึงความสามารถ ข้อดีข้อด้อยของตนเอง ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท รู้จักชุมชน รู้จักสังคม รู้ว่าสังคมรอบตัวเป็นอย่างไร รู้ว่าจุดไหนคือโอกาส รู้ว่าสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร รู้จักธรรมชาติของคนในสังคมนั้นๆว่ามีพฤติกรรมอย่าง มีธรรมนิยมอย่างไร ปุคคลัญญุตา ความรู้จักบุคคล รู้จักความแตกต่างของนิสัยของคนแต่ละคน รู้จักความสามารถของคนแต่ละคน รู้ข้อดีข้อด้อยของคนแต่ละคน รู้ว่าคนประเภทใดควรคบหาสมาคมหรือคนประเภทใดควรอยู่ให้ห่าง และ กาลัญญุตา คือ การรู้จักกาละเทศะ รู้ว่าเวลาไหนควรพูดเวลาไหนควรฟัง เวลาไหนควรกระทำการใดๆ คาดการณ์ได้ว่าในกาลข้างหน้าสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพื่อหาทางในการปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น การรู้จักตนเอง การรู้จักผู้อื่น การรู้จักสังคมที่เราอาศัยอยู่ อาศัยความรู้เหล่านี้ประเมินพร้อมกับกาลเวลาจะทำให้เราสามารถคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างใกล้เคียง ทำให้เราเป็นคนที่ทันต่อโลก ทันต่อยุคสมัย ยากต่อการหลอกลวง ยากต่อการล้มเหลว 

หลักเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นหลักดำเนินชีวิตที่มีจุดประสงค์เดียวกันกับหลักธรรมสัปปุริสธรรม 7 คือหลักดำเนินชีวิตที่เป็นไปเพื่อให้มีชีวิตอันสงบและดีงาม


วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 อย่าง

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม กรุงเทพมหานคร ได้ชี้แจงถึงลักษณะกฎเกณฑ์ของบุคคลที่ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัย 8 อย่างว่า

ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 อย่าง

1. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัด ย้อมใจ

2. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความประกอบอยู่ในทุกข์

3. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความสะสมกองกิเลส คือได้แล้วไม่รู้จักพอ ขอเขาตะบันร่ำไป เรี่ยไรเขาไม่รู้จักหยุด ได้มาแล้วแทนที่จะนำไปสร้างไปทำสาธารณะประโยชน์ กลับก่อปริโภช (สร้างวัดแข่งวัง เพื่อความเด่น ความดังให้ตนเอง)

4. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความอยากใหญ่ อยากมีอำนาจวาสนา

5. ธรรมเหล่าใดที่ไม่มีความสันโดษที่ทีอยู่ คือมีแล้วไม่รู้จักพอ เพื่อตัวเองทั้งสิ้น

6. ธรรมเหล่าใดที่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ คือจะอยู่หรือจะไปที่ไหน แห่แหนกันไปวุ่นวายไปหมด

7. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เอาไหน เช้าแล้วก็เอน เที่ยวไปอิสราเอล เพลเสร็จก็นอนไปเที่ยวเลบานอน ตะวันรอนๆก็ไปอาหรับ หลับสนิท

8. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก กินยากอยู่ยากนอนยาก สร้างความลำบากให้ผู้อื่น

สมมติสงฆ์หมู่ใดมิได้เข้าข่ายในลักษณะนี้ก็ถือว่าสมมติสงฆ์หมู่นั้นยังปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พระบรมราโชวาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน วันที่ 13 มิถุนายน 2512

ขออนุญาตเชิญพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่พระราชทานแก่คณะผู้บริหารงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน  วันที่ 13 มิถุนายน 2512

"...การพัฒนาชนบทเป็นงานที่สำคัญ เป็นงานที่ยาก เป็นงานที่จะต้องทำให้ได้ด้วยความสามารถ ด้วยความเฉลียวฉลาด คือทั้งเฉลียวทั้งฉลาด ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่มุ่งที่จะหากินด้วยวิธีการใดๆ ใครอยากหากินขอให้ลาออกจากตำแหน่งไปทำการค้าดีกว่า เพราะว่าถ้าทำผิดพลาดไปแล้วบ้านเมืองเราล่มจม และเมื่อบ้านเมืองของเราล่มจม แล้วเราอยู่ไม่ได้ ก็เท่ากับเสียหมดทุกอย่าง..."

พระบรมราโชวาท ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ วันที่ 6 กรกฎาคม 2531

ขออนุญาตเชิญพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ วันที่ 6 กรกฎาคม 2531 เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าแม้พระบรมราโชวาทนี้พระองค์ท่านจะประทานให้เมื่อ 25 ปีกว่าแล้ว แต่เนื้อหายังคงทันสมัยและใช้ได้จริงเสมอสำหรับผู้ที่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต

" ...ผู้ที่จะสร้างความสำเร็จในการงานและชีวิตได้แน่นอนนั้น ควรมีคุณสมบัติประกอบพร้อมกันอย่างน้อย 5 ประการ ประการแรก ควรจะต้องมีความสุจริต ความมีใจจริง ความตั้งใจจริง ความอุตสาหะอดทน และความเมตตาเสียสละเป็นพื้นฐานด้านจิตใจ ประการที่สอง ควรจะต้องมีวิชาความรู้ที่ถูกต้อง แม่นยำ ชำนาญพร้อมทั้งมีฝีมือหรือความสามารถในเชิงปฏิบัติเป็นเครื่องมือสำหรับประกอบการ ประการที่สาม ควรจะต้องมีสติ ความยั้งคิด และวิจารณญาณอันถี่ถ้วนรอบคอบเป็นเครื่องควบคุมกำกับให้ดำเนินงานไปได้โดยถูกต้องเที่ยงตรงตามทิศทาง ประการที่สี่ จะต้องมีความรอบรู้ มีความสามารถประสานงานและประสานประโยชน์กับผู้อื่นอย่างกว้างขวาง เป็นเครื่องส่งเสริมให้ทำงานได้คล่องตัวและก้าวหน้า และประการที่ห้าซึ่งสำคัญที่สุด จะต้องมีความฉลาดรู้ในเหตุในผล ในความผิดถูกชั่วดี ในความพอเหมาะพอสมเป็นเครืืองตัดสินและสั่งการปฏิบัติงานทั้งมวล ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ..."

แม้ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นว่ามีคนจำนวนมากประสบความสำเร็จในชีวิตได้เพราะมีเส้นมีสาย มีพรรคมีพวก มีผู้มีอำนาจเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง คนเหล่านั้นถูกผลักดันขึ้นมาให้มีตำแหน่งสูง มีอำนาจการตัดสินในองค์กร แม้เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นกลาง จะพบว่าำอัตราส่วนใหญ่ในคนเหล่านี้ขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ตัวเองได้รับ บางคนก็ใช้ได้ที่ถือโอกาสนี้ในการพัฒนาตนเองเพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งที่ตนได้รับ แต่ก็ถือว่ามีจำนวนน้อยมากที่เป็นเช่นนี้

การผลักดันให้คนที่มีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมขึ้นมารับตำแหน่งต่างๆในองค์กร ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายต่อองค์กรทั้งสิ้นไม่ว่าตำแหน่งนั้นจะเป็นตำแหน่งระดับพนักงานหรือระดับผู้บริหาร ในระยะแรกความเสียหายอาจมีไม่มากอยู่ในระดับพอรับได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเสียหายก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ จนกระทั่งอยู่ในจุดที่หากยังปล่อยไปโดยไม่แก้ไข องค์กรจะถึงจุดล่มสลาย เมื่อนั้นจุดที่มีปัญหาย่อมต้องได้รับการแก้ไข คนที่ไม่เหมาะสมกับหน้าที่ตำแหน่งย่อมต้องถูกปลดไปเพื่อความอยู่รอดขององค์กร เพราะฉะนั้นความสำเร็จแบบมีเส้นสาย มีพรรคพวกก็เป็นเพียงความสำเร็จแบบหลอกๆ

พระบรมราโชวาทที่เชิญมาองค์นี้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแบบแท้จริงและยั่งยืน

พระบรมราโชวาท ณ พุทธสถาน จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 18-21 พฤศจิกายน 2532

ขออนุญาตเชิญพระบรมราโชวาทในพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในการเปิดประชุมใหญ่ของสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ 36 ณ พุทธสภาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 18-21 พฤศจิกายน 2532 เนื่องจากพิจารณาเห็นว่ามีประโยชน์และสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน

" ...ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่น่าวิตกก็คือ ทุกวันนี้ ความคิดอ่านและความประพฤติหลายๆอย่าง ซึ่งแต่ก่อนถือว่าเป็นความชั่วความผิด ได้กลายเป็นสิ่งที่คนในสังคมยอมรับ แล้วพากันประพฤติปฏิบัติโดยไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน จนทำให้เกิดปัญหาและทำให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมนลง ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของชาวพุทธจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่ละท่านแต่ละฝ่ายต้องยึดหลักการ ให้มั่นคงที่จะไม่ทำสิ่งใดๆที่ชั่วที่เสื่อม ต้องกล้าและบากบั่น ที่จะทำแต่สิ่งที่เป็นความดี เป็นความถูกต้องและเป็นธรรม เพื่อให้ผลความประพฤติดีปฏิบัติชอบบังเกิดเพิ่มพูนขึ้นและค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมทรุดลง หากให้กลับฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ จึงขอฝากไว้เป็นหัวข้อพิจารณาของท่านด้วยในการประชุม..."